องค์กร
26 กันยายน 2025 องค์กร
นิยามความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างปรากฎการณ์ทางธุรกิจพร้อมกับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ เท่านั้น ด้วยแนวคิด “Game Changer” ตัวจริง แห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สยามพิวรรธน์ ได้พลิกเกมเศรษฐกิจของพื้นที่โดยรอบศูนย์การค้า ก้าวสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน โดยมี “ไอคอนสยาม” เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นบทพิสูจน์ความสำเร็จนี้ได้เป็นอย่างดี
ความสำเร็จนี้สะท้อนผ่านผลประกอบการอันแข็งแกร่ง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณถดถอย แต่ไอคอนสยามยังเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับมูลค่าทางเศรษฐกิจของหลากหลายธุรกิจในพื้นที่ฝั่งธนและริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถจากชั่วโมงบินที่สะสมในการทำธุรกิจมายาวนาน และศักยภาพในการมองเกมธุรกิจขาดอย่างเฉียบคม
สยามพิวรรธน์ Game Changer ตัวจริง ที่ยืนหยัดเหนือทุกวิกฤติ
บนเส้นทางกว่า 67 ปี ของสยามพิวรรธน์ สิ่งที่สะท้อนอย่างชัดเจนที่สุดคือ การไม่หยุดนิ่ง และ การกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่ให้โลกได้เห็น บริษัทไม่ได้เพียงแค่สร้างศูนย์การค้า แต่ได้สร้างเวทีระดับโลก “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่เชื่อมโยงธุรกิจ ผู้คน ชุมชน และโลกเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านแนวคิด “วิถีสยามพิวรรธน์”
สยามพิวรรธน์ คือ "Game Changer ตัวจริง" ที่บุกเบิกและยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของไทย นับตั้งแต่โครงการ Siam Center ศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศ ซึ่งวางรากฐานวงการค้าปลีก และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยแจ้งเกิดในอุตสาหกรรมแฟชั่น ความกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่นี้ ได้ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบ Mixed-Use Complex ยุคแรก ผ่าน Siam Tower อาคารสำนักงาน และโรงแรม Intercontinental ซึ่งดึงดูดการลงทุนของโรงแรมหรูระดับโลกให้กล้าลงทุนในไทย ก่อนต่อยอดพัฒนา Siam Paragon โปรเจกต์ระดับโลก ซึ่งเป็น แม่เหล็กสำคัญ ที่พร้อมดึงดูดแบรนด์ลักชัวรีมากมาย และผลักดันให้ประเทศไทยเป็น จุดหมายปลายทางการลงทุนและท่องเที่ยวระดับโลก รวมถึงการสร้างและปรับโฉม Siam Discovery สู่ Hybrid Retail ทั้งหมดนี้คือการสะท้อนจิตวิญญาณของ Game Changer ที่เปลี่ยนโฉมวงการค้าปลีกไทยและยกระดับภาพลักษณ์ประเทศสู่เวทีโลกอย่างแท้จริงTop of Form
ไอคอนสยาม โมเดลสร้างเมือง เปลี่ยนเกม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ฝั่งธน
ไอคอนสยาม ได้รับการยอมรับในฐานะ “ต้นแบบกระบวนการพัฒนาโครงการที่ครบวงจร” ที่เหนือกว่าการเป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็นการ “เปลี่ยนเกม” พัฒนาเมือง (Urban Transformation) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างเมืองและอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างครบวงจร การยกระดับนี้ทำให้ทำเลฝั่งธนบุรีมีความน่าดึงดูดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
สยามพิวรรธน์ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับ 13 ชุมชนริมแม่น้ำ เจ้าพระยา ผู้ประกอบการท้องถิ่น และภาคธุรกิจริมแม่น้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการนี้จะสร้างขึ้นจากการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์ร่วมกัน (Co-Creation and Shared Value) ของผู้คน ชุมชน คู่ค้า และสังคม โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ทำให้คนฝั่งธนบุรีภูมิใจในที่อยู่ของตนเอง เนื่องจากโครงการไอคอนสยามเกิดขึ้นบนผืนดินฝั่งธนบุรี ด้วยความเชื่อที่ว่าความยิ่งใหญ่ของเมืองต้องสร้างมาจากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ไอคอนสยามเปิดให้บริการ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 115 ล้านคน รายได้ของศูนย์การค้าเติบโตเฉลี่ย 24.2% ต่อปี สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ 5,000 ล้านบาท แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณถดถอย สร้างงานมากกว่า 400,000 อัตรา ซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวโครงการเอง แต่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรอบอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะ “แม่เหล็กการท่องเที่ยวระดับโลก” โดยมีการจัดงานระดับโลก จำนวน 4,900 อีเวนท์ อีกทั้ง โครงการได้ยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศจนได้รับการยกย่องจาก CNN ว่าเป็น 1 ใน 3 จุดหมายปลายทางของคืนข้ามปีที่ดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจในพื้นที่ก็ได้เติบโตอย่างมหาศาล โดยราคาประเมินที่ดินบริเวณไอคอนสยาม พุ่งทะยานจาก 250,000 บาทต่อตารางวา เป็น 700,000 บาท และมีแนวโน้มว่าอาจสูงถึงตารางวาละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิด โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ ตามมาถึง 60 โครงการ ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรรอบโครงการ
ส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ เติบโตอย่างได้ชัดเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ตั้งบนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เติบโตขึ้น 40% ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โรงแรมโดยรอบมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้คนมาใช้บริการเรือข้ามฟากกว่า 10,000 คน/ วัน (จากเดิม 1,000 คน/วัน ก่อนปี 2561) จากความนิยมนี้ส่งผลให้ราคาห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% และมีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่า 85% เมื่อมีนักท่องเที่ยวและโครงการ
ขณะเดียวกัน ความสำเร็จนี้ได้แผ่ขยายไปสู่ระดับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยโครงการ ไอคอนสยาม ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็น "เมือง" ที่ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานภายใต้หลักคิด Co-Creation and Shared Value เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่สังคมและชุมชน เมื่อมีนักท่องเที่ยวและโครงการระดับโลกนี้เป็นแรงขับเคลื่อน ส่งผลให้ 3,500 ครัวเรือน ใน 13 ชุมชน ที่อยู่ล้อมรอบ มีรายได้ต่อครัวเรือนดีขึ้นจากการค้าขาย นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการดูแลและพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ รักษาความสะอาดและขุดลอกคูคลองรอบ ๆ ทั้ง 7 สาย ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ที่ว่า ความสำเร็จของไอคอนสยามนี้ คือ การเติบโตทางธุรกิจร่วมกันของทั้งพื้นที่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถการันตีความสำเร็จนี้ด้วยการคว้ารางวัลเกียติยศจากองค์กรชั้นนำของโลกและภายในประเทศถึง 46 รางวัล
ศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุด พันธมิตรระดับโลกพร้อมลงทุนต่อเนื่อง
ความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระดับโลกในศักยภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของ ไอคอนสยาม ได้สะท้อนผ่านการแสดงเจตจำนงในการร่วมเปิดสโตร์แห่งใหม่ หรือขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งตอกย้ำถึงสถานะของโครงการที่พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย ในฐานะศูนย์กลางค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก
คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวไว้ว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการระดับโลกจำนวนมากต่างขอขยายพื้นที่ในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มั่นใจในการลงทุนครั้งประวัติการณ์ คือ ยอดขายที่เหนือชั้น ลักชัวรีแบรนด์ที่จำหน่ายในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ทุกแบรนด์ต่างติดอันดับ ท็อป 5 หรือ ท็อป 10 ของโลก โดยยอดขายลักชัวรีแบรนด์ที่มาจากไอคอนสยามและสยามพารากอนรวมกัน คิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งพอร์ตในประเทศไทย”
ด้วยเหตุนี้ แผนการขยายพื้นที่ครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เห็นได้ว่า มีแบรนด์กว่า 52 แบรนด์ ประกอบด้วยทั้งแบรนด์สินค้าลักเซอรี่ และผู้ประกอบการไทย ทยอยเปิดให้บริการที่ ไอคอนสยาม โดยมีการลงทุนรวมมีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผลประกอบการอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยแบรนด์ต่างๆ ประกอบด้วย Hermès เตรียมปรับโฉมเป็นแฟล็กชิปแบบ สองชั้น (Duplex) แห่งแรกของประเทศ พร้อมขยายพื้นที่เพิ่มอีก 500 ตารางเมตร ในทำนองเดียวกัน Prada ก็จะเพิ่มพื้นที่เป็น Duplex แห่งแรกในประเทศไทย เช่นกัน ส่วน Loro Piana ซึ่งเปิดสาขาแรกที่สยามพารากอนแล้ว จะมาเปิดสาขาเพิ่มที่ไอคอนสยามโดยจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย ด้าน Fendi จะเปิดตัว New Concept in Region ซึ่งเป็น Concept ใหม่ล่าสุด และเป็นที่แรกในเอเชีย พร้อมด้วย Facade ที่ได้รับการดีไซน์มาเป็นพิเศษสำหรับไอคอนสยามโดยเฉพาะ ขณะที่ Gentle Monster และ Tamburins เตรียมเปิดร้านขนาดใหญ่มากถึง พันตารางเมตร ในช่วงเดือนธันวาคม และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อาทิ Burberry, Omega ,Maison Francis Kurkdjian (MFK) ,Club21 Multi Label ,Versace ,Glintz Jewelry ,Carolina Lemke ,Orlebar Brown ,Tiffany & Co. ,KAYOU (Art Toy) รวมทั้งร้านอาหาร อาทิ Bianca , Tonkatsu Aoki , Laderach , Candy Crush เป็นต้น
การลงทุนขยายพื้นที่ครั้งประวัติการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ไอคอนสยาม ได้ก้าวไปไกลกว่าการสร้างมาตรฐานระดับโลก โดยยังคงทำหน้าที่เป็น Global Attraction ที่ดึงดูดการลงทุนและเป็น prototype (ต้นแบบ) ที่ผู้ประกอบการระดับโลกต้องศึกษาและเรียนรู้ ซึ่งรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจ คือ ในปีนี้ไอคอนสยาม ได้รับคัดเลือกเป็น Finalist เพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย และหนึ่งในสองโครงการจากเอเชีย ในรางวัล Most Influential Retail Property Project of the Past 30 Years หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี MAPIC Award 2025 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Cannes ของวงการ Retail โดยได้เข้าร่วมแข่งขันกับโครงการระดับโลกอย่าง Dubai Mall (UAE), Battersea Power Station (UK) และ Marina Bay Sands (Singapore) หลังจากเคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมาแล้วในปี 2019 เมื่อคว้ารางวัลชนะเลิศ MAPIC AWARD-- Best Shopping Center 2019 ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก เส้นทางของสยามพิวรรธน์คือบทพิสูจน์ว่า “วิสัยทัศน์ ความกล้า ความศรัทธา” สามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริงได้ ทุกโครงการไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้แก่บริษัท แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม ชุมชน และประเทศ
นี่คือ “ผู้พลิกเกม” เพื่อ “ชนะ” ที่ไม่เพียงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ยังทำให้ประเทศไทยเป็นที่จับตามองบนเวทีโลก Win the World for Thailand
GALLERY